ทำไมเมื่อเราป่วยถึงมีอาการไอ
เวลาคนเราไม่สบายทำไมถึง ไอ
เคยสงสัยกันบ้างรึเปล่าครับ
กลไกการเกิดอาการไอ
อาการไอเป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายอย่างหนึ่งต่อสิ่งผิดปกติในทางเดินหายใจและเป็นกลไกป้องกันที่สำคัญของร่างกายในการกำจัดเชื้อโรค
เสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
รวมทั้งเป็นอาการที่นำสัตว์ป่วยมาสถานพยาบาลสัตว์ได้บ่อยที่สุด
นอกจากนี้อาการไอยังเป็นทางที่สำคัญในการแพร่กระจายของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
อาการไอเริ่มจากการที่มีสิ่งกระตุ้นตัวรับสัญญาณการไอหรือมีสารระคายเคืองในบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง
ได้แก่ ช่องหูและเยื่อบุแก้วหู,จมูก,
โพรงอากาศข้างจมูกหรือไซนัส, โพรงหลังจมูก,
คอหอย, กล่องเสียง, หลอดลม,
ปอด, กระบังลม และเยื่อหุ้มปอด
นอกจากนี้ยังพบตัวรับสัญญาณการไอบริเวณเยื่อหุ้มหัวใจและกระเพาะอาหารด้วย โดยจะรับการกระตุ้นผ่านไปทางเส้นประสาทสมองคู่ที่
10 เป็นหลัก ไปยังศูนย์ควบคุมการไอ (cough center) ในสมองบริเวณเมดุลลา
ซึ่งจะมีการควบคุมลงมายังกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ เช่น
กล้ามเนื้อกระบังลม, กล้ามเนื้อซี่โครง, กล้ามเนื้อท้อง กล่องเสียง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลอดลม
ทำให้เกิดการตีบแคบของหลอดลม ทำให้เกิดอาการไอ
ถ้าแบ่งตามระยะเวลาของอาการไอ แบ่งได้
2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
1.ไอฉับพลัน คือ มีระยะเวลาของอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด, โพรงไซนัสอักเสบฉับพลัน, คอหรือกล่องเสียงอักเสบ,
หลอดลมอักเสบ, อาการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพอง,
ปอดอักเสบ, การที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในหลอดลม
หรือสัมผัสกับสารระคายเคืองในสิ่งแวดล้อม เช่น ควันไฟ กลิ่นสเปรย์ แก๊ส และ
มลพิษทางอากาศ
2. ไอเรื้อรัง คือ มีระยะเวลาของอาการไอมากกว่า 3 สัปดาห์ ถึง 8 สัปดาห์
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง, สัตว์กินยากลุ่ม angiotensin-converting enzyme inhibitor (ACE-I) เป็นระยะเวลานาน, โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังแล้วมีน้ำมูกไหลลงคอ,
โรคหืด, โรคกรดไหลย้อน [gastroesophageal
reflux (GERD)], การใช้เสียงมากทำให้เกิดสายเสียงอักเสบเรื้อรัง,
เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียงหรือหลอดลม, โรคของสมองส่วนที่ควบคุมการไอ,
โรควัณโรคปอด สัตว์ป่วยที่มีอาการไอเรื้อรัง
บางตัวอาจมีสาเหตุมากกว่าหนึ่งชนิด ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องได้รับการตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุ
ผลเสียของอาการไอ
การที่ไอมากๆ
อาจทำให้เป็นที่รำคาญของท่านผู้ฟังหรือรบกวนเพื่อนบ้าน
และยังอาจแพร่เชื้อให้ท่านผู้ฟังหรือสัตว์ตัวอื่นๆได้ครับ
นอกจากนั้นอาจรบกวนการกินอาหารหรือรบกวนการนอนหลับ ในกรณีที่สัตว์ป่วยอายุมาก
การไอมากๆ อาจทำให้กระดูกอ่อนซี่โครงหักได้ (rib fracture) หรือทำให้ถุงลมหรือเส้นเลือดฝอยในปอดแตก ออกสู่โพรงเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax
or hemothorax) เกิดอาการหอบเหนื่อยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
นอกจากนี้มีผลเสียต่อการผ่าตัดตา และหู เช่น การผ่าตัดต้อกระจก การไอ
อาจทำให้เลนส์แก้วตาเทียมที่ใส่ไปในลูกตาหลุดออกได้
การปฏิบัติต่อสัตว์ป่วยที่มีอาการไอ
ท่านผู้ฟังควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้สัตว์ของท่านผู้ฟังไอมากขึ้นครับ
เช่น สารเคมี ควันบุหรี่ ฝุ่น มลพิษทางอากาศ สารก่ออาการระคายเคือง อากาศเย็นๆ
โดยเฉพาะแอร์หรือพัดลมเป่า การดื่มหรืออาบน้ำเย็น การรับประทานไอศกรีม
หรืออาหารที่ระคายคอ เช่น อาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน ถ้าต้องการเปิดเครื่องปรับอากาศ
ควรตั้งอุณหภูมิให้สูงกว่า 25 องศาเซลเซียสเพื่อไม่ให้อากาศเย็นจนเกินไป
ในกรณีที่ใช้พัดลม ไม่ควรเปิดเบอร์แรงสุด และควรให้พัดลมส่ายไปมา
ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศจากเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมโดยตรง
เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถกระตุ้นหลอดลมทำให้หลอดลมหดตัวทำให้สัตว์มีอาการไอมากขึ้นได้
ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายสัตว์ให้เพียงพอขณะนอน เช่น นอนในบริเวณที่มีสิ่งรองนอน
ตั้งน้ำให้สัตว์ดื่มน้ำมากๆ ควรดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงให้สมบูรณ์แข็งแรง
กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทุกประเภท รวมทั้งผักและผลไม้
ให้สัตว์ได้ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอทุกวันหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ
หลีกเลี่ยงทำให้สัตว์เลี้ยงมีความเครียดและการสัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ
พยายามให้สัตว์เลี้ยงอยู่ห่างจากสัตว์ป่วยที่มีอาการไอ หรือไม่สบายทั้งที่บ้าน
และที่ทำงาน เนื่องจากอาจรับเชื้อโรคจากสัตว์ดังกล่าวได้ครับ
ยาบรรเทาอาการไอ
แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1.ยาลดหรือระงับอาการไอ (cough suppressants or antitussives) อาจออกฤทธิ์ที่จุดรับสัญญาณการไอส่วนปลาย
หรือออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางของสมองที่ควบคุมอาการไอ
ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในสัตว์ป่วยที่ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ (non-productive
cough)
2.ยาขับเสมหะ (expectorants) ยาชนิดนี้จะกระตุ้นการขับเสมหะโดยกระตุ้นการทำงานของเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจในการกำจัดเสมหะ
และเพิ่มปริมาณสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปริมาณเสมหะมากขึ้น
ทำให้ไอเอาเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้นเช่น potassium guaiacolsulphonate, terpin
hydrate, ammonium chloride, glyceryl guaiacolate ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในสัตว์ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ
(productive cough)
3.ยาละลายเสมหะ (mucolytics) ยาชนิดนี้จะช่วยลดความเหนียวของเสมหะลงทำให้ร่างกายกำจัดหรือขับเสมหะออกได้ง่ายขึ้น
เช่น ambroxol hydrochloride, bromhexine, carbocysteine ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในสัตว์ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ
บางครั้งนิยมใช้ร่วมกับยาขับเสมหะ
การรักษาอาการไอ
การรักษาที่สำคัญที่สุด
คือ การหาสาเหตุของอาการไอและรักษาตามสาเหตุ
ถ้าสัตว์ป่วยไอจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนหรือล่าง เช่น หวัด
หรือหลอดลมอักเสบ และมีอาการไอไม่มากนักอาจให้การรักษาเบื้องต้น เช่น
ยาบรรเทาอาการไอไปก่อนได้ กรณีที่ไอมีเสมหะ เสมหะที่เหนียวข้นมาก
จะถูกขับออกจากหลอดลมได้ยากโดยการไอ
การให้ยาละลายเสมหะจะช่วยให้เสมหะถูกขับออกได้ง่ายขึ้นและบรรเทาอาการไอได้
แต่หากสัตว์ป่วยได้รับยาดังกล่าวแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุ หากมีอาการของการติดเชื้อแบคทีเรียเช่น
เสมหะมีสีเหลืองหรือเขียว คุณหมออาจให้ยาต้านจุลชีพร่วมด้วย
การที่สัตว์ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาที่ถูกต้องอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ครับ
รักษาไอให้ถูกวิธี
เมื่อเริ่มมีอาการไอ
คนส่วนใหญ่มักรีบสรรหายาแก้ไอสารพัดยี่ห้อมากิน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว
บางครั้งยังส่งผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมา
ทางที่ดีที่สุดควรแก้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยดังนี้ค่ะ
1.ควรปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัว
โดยพยายามอยู่ในบริเวณที่มีอากาศไม่เย็น ไม่มีฝุ่นละออง
2.อาการไอแบบมีเสมหะ
จะเป็นการดึงมูกออกจากเนื้อเยื่อ ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว
หรือในลักษณะกึ่งนอนกึ่งนั่ง เพื่อช่วยให้การหายใจคล่องขึ้น
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยนอนราบตามปกติ
3.ถ้ามีอาการไอแบบแห้ง
จนไม่สามารถนอนหลับพักผ่อนได้ ควรใช้ยาสมุนไพรที่มีลักษณะข้น เพื่อเป็นการเคลือบคอ
และบรรเทาอาการปวด
บรรเทาอาการไอด้วยสมุนไพร
• ขิง รสหวานเผ็ดร้อนจะช่วยขับเสมหะ
โดยนำเอาส่วนเหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว หรือใช้เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย
คั้นเอาน้ำและเติม เกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ
หรือใช้ขิงแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ ทุบให้แตกต้มกับน้ำให้เดือด จิบเวลาไอ
• ดีปลี รสเผ็ดร้อนมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ
ใช้ผลแก่ของดีปลีประมาณ 1/2-1 ผล ฝนกับน้ำมะนาว เติมเกลือนิดหน่อย กวาดลิ้นหรือจิบ
บ่อยๆ
• เพกา เมล็ดเพกาเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งใน
"น้ำจับเลี้ยง" ของคนจีน ใช้ดื่มแก้ร้อนใน เมล็ดเพกามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ
และขับ เสมหะ โดยใช้เมล็ดเพกาประมาณ 1/2-1 กำมือ (หนัก 1.5-3 กรัม)
ต้มกับน้ำประมาณ 300 มิลลิลิตร ตั้งไฟอ่อนๆ ต้มให้เดือดนานประมาณ 1 ชั่วโมง
ใช้ดื่มเป็นยาวันละ 3 ครั้ง
• มะขามป้อม ผลสดของมะขามป้อม มีรสเปรี้ยวอมฝาด
มีสรรพคุณรักษาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ โดยใช้เนื้อผลแก่สด 2-3 ผล โขลกให้แหลก
เหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง
• มะขาม รสเปรี้ยวของมะขาม สามารถกัดเสมหะให้ละลายได้
เมื่อมีอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ ให้ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว
หรือมะขามเปียก (ที่มีรสเปรี้ยว) จิ้มเกลือกินพอสมควร
หรืออาจคั้นเป็นน้ำมะขามเหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ ก็ได้
• มะนาว รสเปรี้ยวของน้ำมะนาว มีสรรพคุณแก้อาการไอ
และขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำมะนาวเข้มข้น และใส่เกลือเล็ก
น้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้มีรสจัด จิบบ่อยๆ
ตลอดวัน หรือหั่นมะนาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย จิ้มเกลือ นิดหน่อย
ใช้อมบ้างเคี้ยวบ้าง
• มะแว้งเครือ รสขมของมะแว้ง มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ
และกัดเสมหะ โดยใช้ผลแก่สดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ เกลือ
จิบบ่อยๆ หรือจะใช้ผลสดเคี้ยว แล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ จนกว่าอาการจะดีขึ้นก็ได้
ขอบคุณสำหรับเนื้อหาที่มีประโยชน์ค่ะ ทำให้รู้ว่าวิธีการรักษาอาการไอ
ตอบลบเป็นแบบนี้เองหรอ ดีดีได้รู้จักวิธีการรักษาอาการไอ
ตอบลบขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลดีดีนะค่ะทำให้ได้รู้ข้อมูลกลไกลของการไอและวิธีการรักษา
ตอบลบ